Day 26 : happiness

การตั้งคำถามกับตัวเองเกี่ยวกับความสุขและความพึงพอใจในชีวิตเป็นสิ่งที่คนเรามักทำเพื่อสำรวจตัวตนและความต้องการของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งคำตอบอาจไม่ชัดเจนหรืออาจรู้สึกเหมือนเรากำลังปลอบใจตัวเอง สิ่งนี้เป็นปกติและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และเติบโต

การที่คุณได้ตระหนักถึงความรู้สึกเหล่านี้และกล้าที่จะถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง เป็นขั้นตอนแรกที่ดีในการเข้าใจตัวตนและความต้องการของคุณมากขึ้น มันอาจจะใช้เวลาและการสำรวจตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ท้ายที่สุดแล้วจะช่วยให้คุณรู้จักและเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น

การพิจารณาและสำรวจความคิดเหล่านี้อาจรวมถึงการพูดคุยกับเพื่อนฝูง, การปรึกษากับนักจิตวิทยา, หรือแม้แต่การทำกิจกรรมที่ช่วยให้คุณสามารถทำความเข้าใจกับตัวเองได้ดีขึ้น เช่น การเขียนบันทึก, การทำสมาธิ, หรือการลองทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวิธีการเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและความต้องการของคุณได้ดียิ่งขึ้น และท้ายที่สุดคือการนำคุณไปสู่คำตอบที่คุณกำลังหา

ต้องการ ? มีทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ที่โด่งดังที่สุดคือ “ทฤษฎีลำดับชั้นของความต้องการ” ของอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) ทฤษฎีนี้ถูกนำเสนอในปี 1943 และมีการพัฒนาต่อยอดมาอย่างต่อเนื่อง มาสโลว์แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็นห้าระดับในลำดับชั้น โดยแต่ละระดับจะต้องถูกตอบสนองก่อนที่ความต้องการในระดับถัดไปจะเกิดขึ้น:

  1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs): ความต้องการพื้นฐานเช่น อาหาร, น้ำ, การนอนหลับ, และการหายใจ ซึ่งเป็นความต้องการเพื่อการดำรงชีวิต
  2. ความต้องการด้านความปลอดภัย (Safety Needs): ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง เช่น การมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย, ความมั่นคงในการงาน, และสุขภาพที่ดี
  3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs): ความต้องการในด้านการมีสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น มิตรภาพ, ความรัก, ความเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
  4. ความต้องการในการเคารพ (Esteem Needs): ความต้องการในการได้รับการยอมรับและเคารพนับถือจากผู้อื่น รวมถึงการมีความเชื่อมั่นในตัวเองและความสำเร็จ
  5. ความต้องการด้านตัวเอง (Self-Actualization Needs): ความต้องการในการบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเอง การทำความเข้าใจในตัวเอง, การทำตามความฝันและความสามารถที่มี

มาสโลว์เชื่อว่าเมื่อความต้องการในระดับที่ต่ำกว่าได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการในระดับที่สูงขึ้นจะเริ่มเป็นปัจจัยสำคัญ และมนุษย์จะแสวงหาการตอบสนองความต้องการเหล่านั้นต่อไป

ตามทฤษฎีลำดับชั้นของความต้องการของมาสโลว์, ความต้องการ (Needs) และความสุข (Happiness) เป็นสองแนวคิดที่สัมพันธ์กันแต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน:

  1. ความต้องการ (Needs): ความต้องการในทฤษฎีของมาสโลว์คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของมนุษย์ โดยมีการแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ความต้องการพื้นฐานเช่น อาหาร และที่อยู่อาศัย ไปจนถึงความต้องการทางจิตใจ เช่น การเคารพตนเองและการบรรลุศักยภาพสูงสุด ความต้องการเหล่านี้เป็นเป้าหมายและแรงผลักดันที่ทำให้มนุษย์ดำเนินการและตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
  2. ความสุข (Happiness): ความสุขเป็นสถานะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีความพึงพอใจหรือความเพลิดเพลินในชีวิต ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากการตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการระดับพื้นฐานหรือความต้องการระดับสูง เช่น การเคารพตนเองหรือการบรรลุศักยภาพ นอกจากนี้ ความสุขยังสามารถเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกเช่น การทำกิจกรรมที่น่าสนใจ การใช้เวลากับคนที่รัก หรือการได้รับความสำเร็จในงานที่ทำ

ดังนั้น ความต้องการและความสุขเป็นแนวคิดที่ประกอบกัน การตอบสนองความต้องการสามารถนำไปสู่ความสุข แต่ความสุขก็ไม่จำเป็นต้องมาจากการตอบสนองความต้องการเสมอไป ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และบางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการตอบสนองความต้องการ

สุขนิยมคืออะไร ?

แน่นอนก่อนที่เราจะทำความเข้าใจกับคำว่าสุขนิยมย่อมมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสุขนิยม (Hedonism) ในปรัชญาและจิตวิทยา สุขนิยมเป็นทัศนคติหรือแนวคิดที่เน้นว่าความสุขหรือความพึงพอใจทางอารมณ์คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

  1. สุขนิยมในปรัชญา: ในปรัชญา, สุขนิยมมักถูกมองว่าเป็นความเชื่อที่ว่าความสุขหรือความเพลิดเพลินคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดและเป็นเป้าหมายหลักในชีวิต มีสองประเภทหลักของสุขนิยม:
  • สุขนิยมแบบคุณภาพ (Qualitative Hedonism): ทฤษฎีที่แยกความเพลิดเพลินที่มีคุณค่าสูงกว่ากับความเพลิดเพลินที่มีคุณค่าต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น, ความเพลิดเพลินจากประสบการณ์ทางปัญญาหรือทางวัฒนธรรมอาจถือว่ามีคุณค่ามากกว่าความเพลิดเพลินจากสิ่งสิ่งที่ตื้นเขิน
  • สุขนิยมแบบปริมาณ (Quantitative Hedonism): ทฤษฎีที่เน้นว่าความสุขทั้งหมดมีคุณค่าเท่ากัน และเป้าหมายคือการเพิ่มปริมาณความสุขให้ได้มากที่สุด
  1. สุขนิยมในจิตวิทยา: ในจิตวิทยา, สุขนิยมมักถูกมองเป็นแรงจูงใจหลักในการดำเนินการต่างๆ เพื่อการเพิ่มความสุขหรือลดความทุกข์ นี่อาจรวมถึงการศึกษาว่าสิ่งต่างๆ เช่น การทำงาน, การสร้างความสัมพันธ์, และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มีผลอย่างไรต่อความรู้สึกของความสุข

สุขนิยมยังได้รับการถกเถียงในด้านจริยธรรม, เช่น การอภิปรายเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของการแสวงหาความสุขส่วนตัวเมื่อเทียบกับความสำคัญของความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม.

การแยกแยะระหว่าง “เมื่อไรเป็นความต้องการ” และ “เมื่อไรเป็นความสุข” อาจเป็นเรื่องท้าทายเนื่องจากทั้งสองสิ่งนี้มักเกี่ยวพันและส่งผลกระทบต่อกัน แต่สามารถเข้าใจได้ดังนี้:

  1. เมื่อไรเป็นความต้องการ: ความต้องการมักเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือสิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อจำกัดหรือข้อกำหนดในการดำรงชีวิตและเติบโต ตัวอย่างเช่น:
  • ความต้องการทางกายภาพ เช่น อาหาร, น้ำ, การนอนหลับ
  • ความต้องการด้านความปลอดภัย เช่น ความมั่นคงในงาน, ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย
  • ความต้องการทางสังคม เช่น มิตรภาพและความรัก
  1. เมื่อไรเป็นความสุข: ความสุขเป็นสถานะทางอารมณ์ที่เกิดจากความพึงพอใจ, ความเพลิดเพลิน, หรือความรู้สึกดีในตัวเอง ตัวอย่างเช่น:
  • ความสุขที่มาจากการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
  • ความสุขจากการใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
  • ความสุขจากความสำเร็จในงานหรือการเอาชนะความท้าทาย

ในหลายกรณี, การตอบสนองความต้องการสามารถนำไปสู่ความสุข เช่น การได้รับอาหารและน้ำที่ดีสามารถนำไปสู่ความรู้สึกพึงพอใจและความสุขในระดับหนึ่ง แต่ความสุขยังสามารถเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาความต้องการที่ชัดเจน, เช่น การเพลิดเพลินกับธรรมชาติหรือการฟังเพลงที่ชอบ

สุดท้าย, ทั้งความต้องการและความสุขมีความสำคัญในการใช้ชีวิตที่สมดุลและมีความหมาย และการเข้าใจสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให