DevSecOps: Pragmatic Implementation

DevSecOps, หรือ Development, Security, and Operations, นั้นประสบความสำเร็จจากการรวมกันของทีมพัฒนา (Dev), ทีมความปลอดภัย (Sec), และทีมดำเนินการ (Ops) เพื่อสร้างและส่งมอบซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็วและปลอดภัย. วิธีการนี้ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยตลอดทั้งกระบวนการพัฒนา.

  1. การทำงานร่วมกันของทีม: DevSecOps ส่งเสริมให้ทีมงานทำงานร่วมกันในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาและดำเนินการ, ด้วยการแบ่งปันความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน.
  2. การตรวจสอบและตรวจตรวและติดตามแบบต่อเนื่อง: การใช้เครื่องมืออัตโนมัติเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและการติดตามประสิทธิภาพในทุกๆ ขั้นตอนของการพัฒนา.
  3. การปรับใช้และการส่งมอบที่รวดเร็ว: ด้วยการใช้เทคนิคและเครื่องมือที่ทันสมัย, DevSecOps ช่วยให้ทีมงานสามารถปรับใช้และส่งมอบซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็วและปลอดภัย.
  4. การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า: ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง.
  5. การบริหารจัดการความเสี่ยง: การประเมินและจัดการความเสี่ยงในตลอดทั้งวัฏจักรการพัฒนา, ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาความปลอดภัยได้มีประสิทธิภาพ.

การนำ DevSecOps มาใช้ในองค์กรจะต้องการความคิดริเริ่มและความยินยอมในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานเดิมๆ นอกจากนี้ยังต้องการเครื่องมือและทรัพยากรที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินการและการติดตามประสิทธิภาพ

เริ่มต้นอย่างไรดี

ในฐานะนักคิดเชิงสร้างสรรค์เราลองใช้กระบวนการคิดว่าทำอย่างไรให้เราเริ่มต้น Implement DevSecOps ในองค์กรดี

การปรับใช้ DevSecOps (Development, Security, and Operations) ในองค์กรโดยใช้แนวคิด Design Thinking สามารถช่วยในการส่งเสริมความสร้างสรรค์, ความคิดริเริ่ม, และการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงาน. นี้คือคำอธิบายเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการทำ:

Empathize (การเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น): เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในความต้องการและปัญหาของลูกค้า, ผู้ใช้, และทีมงานอื่น ๆ ในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์.

Define (การนิยามปัญหา): หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากขั้นตอนการเข้าใจ, นำข้อมูลเหล่านั้นมานิยามปัญหาหรือความต้องการในลักษณะที่ชัดเจน.

Ideate (การสร้างไอเดีย): สร้างพื้นที่ให้ทีมงานมีการสนทนาและสร้างไอเดียในการแก้ปัญหาและปรับปรุงกระบวนการ.

Prototype (การสร้างต้นแบบ): พัฒนาต้นแบบหรือ MVPs (Minimum Viable Products) เพื่อทดสอบและแสดงความคิด.

Test (การทดสอบ): รวบรวมผลลัพธ์จากการทดสอบต้นแบบและปรับปรุงตามคำติชมหรือข้อเสนอแนะ.

ในกระบวนการ DevSecOps ผมขอแบ่งเป็น บันได 7ขั้น ผ่าน 5 วิธีการคิด ได้ดังนี้

  1. การวางแผนและการวิเคราะห์: • Empathize: ทำความเข้าใจความต้องการและปัญหาของผู้ใช้ วิเคราะห์ความเสี่ยงและข้อจำกัดที่มีอยู่. • Define: นิยามปัญหาที่ต้องการแก้ไขและตั้งเป้าหมายสำหรับโครงการ.
    1. การพัฒนาและการทดสอบ:
      • Ideate: สร้างไอเดียในการพัฒนาโค้ดและวิธีการทดสอบความปลอดภัย.
      • Prototype: สร้างต้นแบบหรือ MVP (Minimum Viable Product) และทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้.
    2. การรวบรวมและการสร้าง:
      • Ideate & Prototype: หาวิธีการทำให้กระบวนการรวบรวมและสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ.
    3. การปรับใช้:
      • Prototype & Test: ทดสอบการปรับใช้ในสภาพแวดล้อมทดสอบ รับฟีดแบ็คและทำการปรับปรุงต่อ.
    4. การดำเนินการและการตรวจสอบ:
      • Test: ตรวจสอบการทำงานและความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการดำเนินการจริง.
    5. การตรวจสอบและการตอบสนองต่อความเสี่ยง:
      • Test & Ideate: ตรวจสอบความปลอดภัยแบบต่อเนื่อง และหาวิธีการตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น.
    6. การวิเคราะห์และการปรับปรุงต่อเนื่อง:
      • Ideate & Prototype: วิเคราะห์ผลลัพธ์ รับฟีดแบ็ค และหาวิธีการปรับปรุงกระบวนการและผลิตภัณฑ์ต่อไป.

เมื่อคิดได้ก็ถึงกระบวนการลงมือทำ ในทั่ว ๆ ไป เมื่อเราพูดถึง DevSecOps เราจะนึกถึง คำว่า CI/CD pipeline

กระบวนการ Continuous Integration (CI) เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่การรวมโค้ดจากหลายๆ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในฐานโค้ดหลัก (main codebase) อย่างต่อเนื่อง และทำการทดสอบโค้ดทันทีหลังจากรวม. การทำ CI สามารถช่วยลดปัญหาที่เกิดจาก “integration hell” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนักพัฒนาทำงานแยกต่างหากและพยายามรวมโค้ดของตนเองในภายหลัง. นี้คือขั้นตอนทั่วไปและเครื่องมือที่ใช้ใน CI:

  1. การสร้าง (Build):
    • สร้างโค้ดให้เป็นไบนารีหรือไฟล์ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้.
    • เครื่องมือ: Jenkins, Travis CI, CircleCI, GitLab CI, หรือ Azure DevOps.
  2. การทดสอบ (Test):
    • ทำการทดสอบโค้ดเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความมั่นคง.
    • เครื่องมือ: JUnit, Selenium, Jest, หรือ Mocha.
  3. การรวม (Integration):
    • รวมโค้ดจากทุก branch หรือ fork ให้เป็นหนึ่งเดียวกันใน repository หลัก.
    • เครื่องมือ: Git, SVN, หรือ Mercurial.
  4. การตรวจสอบความปลอดภัย (Security Check):
    • ตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดและของ dependencies.
    • เครื่องมือ: SonarQube, OWASP Dependency-Check, หรือ Snyk.
  5. การตรวจสอบ Code Quality:
    • ตรวจสอบคุณภาพของโค้ด เช่น coding standards, complexity, และ technical debt.
    • เครื่องมือ: SonarQube, Codacy, หรือ Codeclimate.
  6. การจัดการ Configurations และ Dependencies:
    • จัดการ configurations และ dependencies ให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกัน.
    • เครื่องมือ: Docker, Ansible, หรือ Terraform.
  7. การแจ้งเตือนและติดตาม (Monitoring and Notification):
    • รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโค้ดหรือเมื่อมีปัญหาที่เกิดขึ้น.
    • เครื่องมือ: Slack, Email, หรือ PagerDuty.

การทำ CI สามารถทำให้ทีมงานพัฒนาซอฟต์แวร์มีความมั่นใจมากขึ้นในการพัฒนา, และทำให้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น.

การใช้กระบวนการ Continuous Deployment (CD) สามารถทำให้กระบวนการปรับใช้ซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ การทำงานนี้จะทำให้เกิดความยั่งยืนในกระบวนการเนื่องจากมันสามารถลดเวลาในการปรับใช้ และลดความผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานแบบดั้งเดิม. ต่อไปนี้คือขั้นตอนทั่วไปในการปรับใช้ CD แบบ Programmatic และเครื่องมือที่แนะนำ:

  1. การตั้งค่าสภาพแวดล้อม:
    • ใช้เครื่องมือสำหรับการจัดการการปรับใช้และการจัดการสภาพแวดล้อม เช่น Kubernetes, Docker, หรือ Ansible.
  2. การสร้างและการทดสอบ:
    • ใช้เครื่องมือสำหรับการสร้างและทดสอบโค้ดอัตโนมัติ เช่น Jenkins, CircleCI, หรือ Travis CI.
  3. การตรวจสอบความปลอดภัย:
    • ใช้เครื่องมือที่สามารถตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดและสภาพแวดล้อมการปรับใช้ เช่น OWASP ZAP, SonarQube, หรือ Nessus.
  4. การปรับใช้:
    • ใช้เครื่องมือสำหรับการปรับใช้อัตโนมัติ เช่น Spinnaker, Jenkins, หรือ GitLab CI/CD.
  5. การตรวจสอบและการติดตาม:
    • ใช้เครื่องมือการติดตามและการตรวจสอบ เช่น Prometheus, Grafana, หรือ ELK Stack (Elasticsearch, Logstash, Kibana).
  6. การเรียนรู้และการปรับปรุงต่อเนื่อง:
    • รับฟีดแบ็คจากทีมงานและลูกค้า, วิเคราะห์ผลลัพธ์, และทำการปรับปรุงกระบวนการและเครื่องมือตามความต้องการ.

    การพัฒนาแบบ Continuous Programmatic และ Sustainable Development Ecosystem มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด. การพัฒนาแบบ Continuous Programmatic ช่วยให้ทีมงานสามารถสร้าง, ทดสอบ, และปรับใช้ซอฟต์แวร์ในอัตราที่รวดเร็วและอัตโนมัติ, ในขณะที่ Sustainable Development Ecosystem มุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบที่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงและยั่งยืนในระยะยาว.

    1. Continuous Programmatic Development:
      • การทำงานอัตโนมัติ: ใช้เทคนิคและเครื่องมือที่ทำให้กระบวนการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ, เช่น CI/CD.
      • การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง: ทำให้โค้ดและระบบสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย.
    2. Sustainable Development Ecosystem:
      • การปรับปรุงต่อเนื่อง: ตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการพัฒนาและเครื่องมือเพื่อให้ทั้งหมดยั่งยืน.
      • การร่วมมือ: สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานที่ต่างแผนกและสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กัน.

    ในการพัฒนาแบบ Continuous Programmatic, การใช้เครื่องมือและกระบวนการที่ทันสมัยช่วยให้ทีมงานสามารถเร่งการพัฒนาและปรับใช้, ส่งผลให้มีการปรับปรุงที่ต่อเนื่องใน Sustainable Development Ecosystem. การเรียนรู้และปรับปรุงต่อเนื่องจากการพัฒนาแบบ Continuous Programmatic ช่วยสร้าง Ecosystem ที่ยั่งยืน, ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการ