Day 31: เดอะแบก

บทความที่สองของ ชุดนี้ผมเลือกที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างคนสองรุ่นซึ่งถ้าเปรียบเทียบก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากเพราะเขาทั้งสองรุ่นก็ยังอยู่ในตลาดแรงงานเหมือนกันแต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผมรู้สึกได้คือระดับความอดทนที่มีต่อ องค์กรหรือเรื่องที่เข้ามากระทบอันเป็นสาเหตุมาจากองค์กรหรือบุคคลในองค์กรจริงๆแล้วเมื่อก่อนผมเป็นพวกสุขนิยมคืออะไรที่มีความสุขเท่านั้นที่ผมจะทำแต่เมื่อเวลาผ่านไปผมกลายเป็นเดอะแบกผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็ก generation, M มากกว่าเป็นรูม Generation Y ถ้าเราลองวิเคราะห์และทำการ การแยกความสามารถของคนตามรุ่นหรือ “generation” ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน เพราะความสามารถและลักษณะของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปตามบุคลิกภาพและประสบการณ์ของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็น Generation Y (หรือมิลเลนเนียลส์) หรือ Generation M (หรือ Generation Alpha, เด็กยุคใหม่)

อย่างไรก็ตาม, มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ดูเหมือนว่าเด็กๆ รุ่นใหม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่:

  1. การเติบโตกับเทคโนโลยี: เด็กยุคใหม่มักเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัย ทำให้พวกเขาคุ้นเคยและสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วมากกว่า.
  2. การเรียนรู้อย่างรวดเร็ว: เด็กๆ มักมีความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็ว เนื่องจากสมองของพวกเขายังอยู่ในช่วงพัฒนาการ.
  3. การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ: เด็กๆ มักไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ และมักจะเปิดรับกับความเปลี่ยนแปลงมากกว่า.
  4. ความคาดหวังที่แตกต่าง: สังคมมักคาดหวังให้เด็กๆ สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่.

สำหรับคนรุ่นก่อน เช่น Generation Y, การเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจใช้เวลานานกว่า เพราะพวกเขาไม่ได้เติบโตมากับเทคโนโลยีเหล่านั้น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้หรือปรับตัวได้

การที่เด็กจากรุ่น Generation M (หรือ Generation Alpha, เด็กที่เกิดหลังปี 2010) ดูเหมือนจะ “เอาแต่ใจนำ” สามารถมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผล:

  1. การเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม: วิธีการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมที่เด็กๆ เติบโตมามีผลต่อพฤติกรรมของพวกเขา เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการอาจพัฒนาพฤติกรรมที่ดูเอาแต่ใจ.
  2. การพัฒนาสมอง: เด็กในวัยนี้ยังมีสมองที่กำลังพัฒนา พวกเขาอาจยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือพิจารณาผลกระทบของการกระทำได้เต็มที่.
  3. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี: เด็กๆ รุ่นนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและความต้องการทันทีมากกว่าในอดีต.
  4. การพัฒนาความเป็นอิสระ: การแสวงหาความเป็นอิสระเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต และบางครั้งอาจถูกตีความเป็นพฤติกรรมที่เอาแต่ใจ.
  5. การเป็นศูนย์กลางของความสนใจ: เด็กยุคนี้มักได้รับความสนใจมากมายจากผู้ปกครองและสื่อ ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาคือศูนย์กลางของโลก.

อย่างไรก็ตาม, สำคัญที่จะจำไว้ว่าไม่สามารถใช้คุณลักษณะเหล่านี้อธิบายเด็กทุกคนในรุ่นนี้ได้ แต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน และการพัฒนาพฤติกรรมของพวกเขาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมถึงสภาพแวดล้อมที่เติบโต, การเลี้ยงดู, บุคลิกภาพ และประสบการณ์ส่วนบุคคล.

การที่ Generation Y, หรือมิลเลนเนียลส์, มักถูกมองว่าเป็น “the แบก” หรือผู้ที่รับภาระหนักในสังคมมีหลายสาเหตุ:

  1. ภาระทางเศรษฐกิจ: มิลเลนเนียลส์เติบโตมาในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน รวมถึงช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายในการหางาน, หนี้สินจากการศึกษา, และความยากลำบากในการซื้อบ้าน.
  2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี: พวกเขาอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและสังคม, ซึ่งต้องปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น.
  3. ความคาดหวังที่สูง: มีความคาดหวังว่ามิลเลนเนียลส์ต้องประสบความสำเร็จในหลายด้าน เช่น การทำงาน, ชีวิตส่วนตัว, และการดูแลครอบครัว.
  4. ภาระในการดูแลครอบครัว: บางครั้งพวกเขาอาจต้องดูแลทั้งพ่อแม่ที่อายุมากขึ้นและลูกของตนเอง, ทำให้รู้สึกว่าต้องรับภาระหนัก.
  5. แรงกดดันจากสื่อสังคมออนไลน์: การเติบโตในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ทำให้มีความคาดหวังให้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ, ส่งผลให้เกิดความกดดันเพิ่มขึ้น.

การเรียกพวกเขาว่า “the แบก” สะท้อนถึงความเชื่อว่าพวกเขาต้องรับภาระหลายอย่างในชีวิต ทั้งในด้านการทำงาน, ความสัมพันธ์, และสถานะทางเศรษฐกิจ. แม้ว่าสถานการณ์นี้อาจไม่เป็นจริงสำหรับทุกคนในรุ่นนี้ แต่มันก็เป็นการสะท้อนถึงความท้าทายทั่วไปที่หลายคนในรุ่นนี่

การอธิบายเรื่องความเครียดให้กับเด็ก Generation M (หรือ Generation Alpha, เด็กที่เกิดหลังปี 2010) ควรทำอย่างเข้าใจง่ายและเหมาะสมกับวัยของพวกเขา:

  1. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย: อธิบายความเครียดในภาษาที่เด็กๆ สามารถเข้าใจได้ โดยใช้คำอธิบายแบบเรียบง่าย และหลีกเลี่ยงคำศัพท์ทางเทคนิคหรือที่ซับซ้อน.
  2. ยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง: ให้ตัวอย่างของสถานการณ์ที่พวกเขาอาจเคยประสบ เช่น ความรู้สึกเมื่อมีการสอบ หรือเมื่อต้องทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย.
  3. อธิบายผลกระทบ: ชี้แจงว่าความเครียดสามารถส่งผลต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างไร เช่น ทำให้รู้สึกเหนื่อย, ปวดหัว, หรือมีอารมณ์แปรปรวน.
  4. สอนวิธีการจัดการกับความเครียด: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับความเครียด เช่น การหายใจลึกๆ, การเล่นเกม, หรือการพูดคุยกับคนที่เชื่อถือได้.
  5. ย้ำความสำคัญของการดูแลตนเอง: สอนพวกเขาเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการหาความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น.
  6. เป็นตัวอย่างที่ดี: แสดงให้เห็นถึงการจัดการความเครียดในแบบของผู้ใหญ่ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ.
  7. ให้ความรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก: สร้างบรรยากาศที่เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยในการแบ่งปันความรู้สึกและความกังวลของพวกเขา.

จำเป็นมากที่จะต้องพูดคุยและอธิบายเรื่องนี้อย่างเหมาะสมกับวัย เพื่อช่วยให้เด็กๆ เข้าใจและสามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้

เราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง Generation Y และ Generation M, โดยมุ่งเน้นที่การรับมือกับความท้าทายและความคาดหวังในยุคที่พวกเขาเติบโตมา สำหรับ Generation Y, มักมองเห็นภาระหนักจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี, ส่วน Generation M มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้ดีกว่าแต่อาจดูเหมือนว่า “เอาแต่ใจนำ” เนื่องจากการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง นอกจากนี้ เรายังได้หารือเกี่ยวกับวิธีการอธิบายเรื่องความเครียดให้กับเด็กๆ ใน Generation M ด้วยวิธีที่เหมาะสมกับวัยและการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือและจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้.